DeepSeek AI จากจีนยอดดาวน์โหลดโค่นบัลลังก์ ChatGPT บน App Store

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงของวงการเทคโนโลยีทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการแข่งขันด้าน Generative AI ซึ่งเห็นได้ชัดจากกระแส ChatGPT ของ OpenAI ที่เคยติดอันดับสูงสุดใน App Store ฝั่งสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ แอปพลิเคชัน DeepSeek จากจีนได้ก้าวขึ้นแท่นแอปฟรีที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดในสหรัฐฯ แซงหน้า ChatGPT อย่างน่าประหลาดใจ จนกระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถามและวิเคราะห์ถึงอนาคตของวงการ AI ทั่วโลก
ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึง DeepSeek ว่าคืออะไร ทำไมถึงมาแรงขนาดนี้ รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่และตลาดการลงทุนโดยรวม
เมื่อ DeepSeek สตาร์ทอัพ AI สัญชาติจีน สามารถโค่นแชมป์อย่าง ChatGPT บน App Store ในสหรัฐฯ ได้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศรายงานว่าบริษัท High-Flyer ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์เชิงปริมาณ (quantitative hedge fund) และเป็นบริษัทแม่ของ DeepSeek ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและคนในวงการเทคโนโลยีอย่างล้นหลาม
ความสำเร็จของ DeepSeek สร้างแรงกระเพื่อมในตลาดหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งหลายบริษัทมีการเทขายหุ้นออก เช่น
NVDIA -16.97%
Microsoft -2.14%
TSMC -13.33%
ข้อมูล ณ วันที่ 28 มกราคม 2568
DeepSeek คืออะไร?
DeepSeek ก่อตั้งขึ้นในปี 2023 โดย เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ High-Flyer จุดเริ่มต้นของ DeepSeek มาจากหน่วยวิจัย AI ของ High-Flyer ที่เน้นการพัฒนา Large Language Models (LLMs) และมุ่งสู่ Artificial General Intelligence (AGI) หรือ “ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป” ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของหลายบริษัท AI ชื่อดังทั่วโลก
R1 โมเดลโอเพ่นซอร์สที่ทำให้ DeepSeek โด่งดัง
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ DeepSeek ได้รับความสนใจอย่างมาก คือการเปิดตัว R1 หรือ “Reasoning Model” รุ่นล่าสุด ซึ่งทางบริษัทอ้างว่ามีประสิทธิภาพทัดเทียมกับโมเดล o1 ของ OpenAI และเปิดให้ใช้งานในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส (open-source) หมายความว่านักพัฒนาและผู้สนใจทั่วโลกสามารถนำโมเดลนี้ไปต่อยอดและประยุกต์ใช้ในงานของตนได้อย่างยืดหยุ่น
ผู้ใช้งานและนักพัฒนาหลายรายได้กล่าวชื่นชม R1 ในด้านความสามารถในการให้เหตุผลและตอบคำถามได้หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อสังเกตว่าตัวโมเดลยังคงมีข้อจำกัดบางประการ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวโยงกับนโยบายของรัฐบาลจีน ซึ่งเมื่อถูกสอบถามถึง หัวข้อเหล่านั้นจะถูกเบี่ยงเบนหรือจำกัดไม่ให้เข้าถึงคำตอบเชิงลึก
โครงการ Stargate และการเมืองด้าน AI
เพื่อไม่ให้เสียเปรียบในการแข่งขัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง OpenAI, Oracle, SoftBank และกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ในโครงการชื่อ “Stargate” โดยจะเป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีพันธมิตรหลักอย่าง Microsoft, Nvidia, Oracle และ Arm โดยตั้งเป้าลงทุนเริ่มต้นที่ 100,000 ล้านดอลลาร์ และอาจสูงถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ในอีก 4 ปีข้างหน้า
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง “การแข่งขันระดับชาติ” ในการครอบครองเทคโนโลยี AI ขั้นสูง เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำในยุคดิจิทัล การที่จีนมีโมเดลอย่าง DeepSeek ที่ประสบความสำเร็จในระดับสากล ยิ่งเร่งให้สหรัฐฯ พยายามรักษาความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยีโดยการเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศ (ecosystem) ด้าน AI
กล่าวโดยสรุป การมาของ DeepSeek ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงให้เห็นว่า “ใครใช้เทคโนโลยี AI ได้เก่งกว่า” หากแต่เป็นการบอกให้เรารู้ว่า อนาคตของ AI จะก้าวไกลและกระจายตัวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และผู้ชนะอาจไม่ใช่เพียงผู้มีงบประมาณสูงสุดเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่สามารถสร้าง “นวัตกรรมที่ตอบโจทย์” ด้วยวิธีที่คุ้มค่าและเข้าถึงได้จริง
ที่มา : CNBC
คำเตือน : คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้