ย้อนรอยการล่มสลายของ LUNC เหรียญที่เคยร่วงกว่า 99.99%

2024-06-10

Terra Classic (LUNC) หรือชื่อเดิมว่า LUNA เป็น Native token ของ Terraform Labs ซึ่งเป็นผู้ออก stablecoin อย่าง UST แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงสร้างประวัติศาสตร์ราคาร่วงลงกว่า 99.99% ในชั่วพริบตา ทำไมจาก LUNA ถึงกลายเป็น LUNC เรามาย้อนอดีตไปด้วยกัน

Terraform Labs จุดเริ่มต้นแห่งความทะเยอทะยาน

Terraform Labs (Terra) ก่อตั้งโดย Do Kwon และ Daniel Shin มี LUNA เป็น Native token ใช้สำหรับจ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆ บน Ecosystem ของ Terra โดยมีแนวคิดในการเพิ่มความสะดวกให้ระบบชำระเงินแบบ Decentralized ด้วยการออก Stablecoin ที่ตรึงค่าเงิน (Peg) ด้วย Algorithmic model อย่าง UST ซึ่งแตกต่างกับ Stablecoin ตัวอื่นๆ อย่าง USDT และ USDC

เปรียบเทียบง่ายๆ USDT กับ USDC จะตรึงมูลค่าด้วยเงินดอลลาร์หรือสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง เช่น พันธบัตร แต่ UST จะใช้กลไกที่ให้ผู้ใช้สามารถเผา LUNA มูลค่า 1 ดอลลาร์ เพื่อ Mint 1 UST ในทางกลับกัน ผู้ใช้ก็สามารถเผา 1 UST เพื่อ Mint LUNA มูลค่า 1 ดอลลาร์ ได้

กลไกดังกล่าวทำให้เมื่อ UST มีราคามากกว่า 1 ดอลลาร์ ผู้ใช้งานก็จะได้ประโยชน์จากการเผา LUNA เพื่อ Mint UST แล้วก็ขายทำกำไร ในทางกลับกัน เมื่อ UST มีมูลค่าน้อยกว่า 1 ดอลลาร์ ผู้ใช้ก็จะได้ประโยชน์จากการเผา UST เพื่อ Mint LUNA เช่นกัน ซึ่งกลไกนี้ก็ทำงานมาได้ร่วมปีครึ่ง ก่อนจะพังทลายลงอย่างโหดร้ายในภายหลัง

ผลตอบแทนมหาศาลดันความนิยม LUNA พุ่ง

ปัจจัยหลักที่ทำให้ Terra ecosystem และ LUNA ได้รับความนิยมอย่างมากคือ Anchor Protocol ซึ่งเป็น DeFi ที่ใหญ่ที่สุดบน Terra ecosystem ซึ่งให้ Yield ที่สูงมากเมื่อทำการฝาก UST โดยในตอนนั้นให้ APY สูงถึง 20% 

การที่ใช้ UST ซึ่งเป็น Stablecoin ในการฝากนั้น ทำให้ผู้ใช้งานจำนวนมากรู้สึกว่า Anchor Protocol ปลอดภัย และแม้ว่าตัวเลข 20% APY จะดูดีเกินไปในตอนนี้ แต่ในช่วงนั้นตลาดคริปโตอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างมาก ทำให้ผู้ใช้งานไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไรนัก

ซึ่งในช่วงจุดพีค LUNA เคยมีราคาสูงสุด 119.18 ดอลลาร์ และมีการ Mint UST ออกมามากถึง 1.87 หมื่นล้าน UST

สัญญาณเตือนเริ่มปรากฎ

ความนิยมของ Anchor Protocol ทำให้มีความต้องการ UST เพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม มีแต่คนต้องการปล่อยยืม คนที่ต้องการยืม UST มีเพียงน้อยนิด และเมื่อไม่มีความต้องการยืม UST ที่มากพอ ก็ทำให้ Anchor Protocol ไม่สามารถจ่ายผลตอบแทน 20% ตามที่ระบุได้ จึงต้องมีการอัดเงินเข้าไปเพื่อให้สามารถจ่ายผลตอบแทนตามที่โฆษณาได้ และเงินนั้นก็มาจาก Luna Foundation Guard (LFG) ซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งโดย Do Kwon นั่นเอง

แม้หลายฝ่ายจะมีความกังวลว่า Anchor Protocol จะไม่สามารถจ่ายผลตอบแทน 20% ตามที่โฆษณาได้ แต่ก็มองว่าอย่างแย่ที่สุดก็แค่ Yield ลดลง ไม่มีใครคิดถึงกรณีเลวร้ายที่สุดจริงๆ ว่าทั้ง UST และ LUNA จะร่วงจนแทบไร้ค่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อความนิยมของ UST และ LUNA ยังมากขึ้นจน “มีขนาดใหญ่เกินไป” ทำให้หลายฝ่ายเห็นข้อบกพร่องของกลไก Algorithmic ที่ควรจะรักษาราคาของ UST ไว้ และดูเหมือนผู้ก่อตั้ง Terraform Labs อย่าง Do Kwon ก็รู้เช่นกัน

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 หรือประมาณ 3 เดือนก่อน Terra จะล่มสลาย LFG ได้ประกาศตั้ง UST Reserve ซึ่งเป็นเหมือนกองทุนที่จะถือสินทรัพย์ต่างๆ รวมถึง Bitcoin โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ UST หลุด Peg 

แต่แม้ว่า UST Reserve จะมีเงินสำรองถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์ มันก็ไม่เพียงพอที่จะช่วยพยุงราคา UST ได้

UST หลุด Peg ฉุด LUNA ร่วง 99.99%

ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2022 UST เริ่มหลุด Peg และร่วงไปถึง 0.67 ดอลลาร์ ภายในวันที่ 10 พฤษภาคม และแม้ UST จะยังมีช่วงขึ้นๆ ลงๆ และทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 0.9 ดอลลาร์ แต่ก็อยู่ไม่นาน ก่อนจะร่วงอีกครั้ง และหลุดไปถึง 0.23 ดอลลาร์ ในวันที่ 11 พฤษภาคม 

ในระหว่างนั้น LFG พยายามอัดเงินเข้า Terra ecosystem เพื่อพยุงราคา UST ไว้ แต่ก็ไม่เป็นผล ตลาดหมดความเชื่อมั่นใน UST แล้ว และพยายามเทขาย UST ซึ่งหากจะขายใน Exchange ทั่วไปราคาก็ต่ำเกินไปแล้ว ผู้ถือ UST เลยทำการเผา UST เพื่อ Mint LUNA ออกมาแทน ซึ่งนั้นทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ LUNA ล้นตลาด (Circulating supply ของ LUNA เพิ่มจาก 380 ล้าน LUNA ในวันที่ 10 พฤษภาคม เป็น 6.5 ล้านล้าน LUNA ในวันที่ 13 พฤษภาคม) และฉุดราคา LUNA ร่วงจาก 62 ดอลลาร์ ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2022 ไปเป็น 0.0000008 ดอลลาร์ ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2022 หรือกว่า 99.99%!!!

การเปลี่ยนชื่อจาก LUNA เป็น LUNC

ไม่กี่วันหลังจากที่ UST และ LUNA ราคาร่วงจนไม่สามารถกลับมาได้แล้ว Do Kwon ก็ได้เสนอที่จะเริ่ม Terra ใหม่โดยทิ้ง Algorithmic stablecoin ไป หรือ Hard fork ซึ่ง Terra ใหม่นี้จะทำหน้าที่เป็นบล็อกเชนสำหรับ Smart contract โดยมี LUNA เป็น Native token 

ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2022 กลุ่ม Terra validator ก็ได้โหวตอนุมัติแผนดังกล่าว และในวันที่ 28 พฤษภาคม 2022 ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว Terra 2.0 อย่างเป็นทางการ

ในส่วนของ Terra เก่านั้นจะเปลี่ยนชื่อเป็น Terra Classic โดยจะคงการทำงานแบบเดิมไว้ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อ Native token จาก LUNA เป็น Luna Classic (LUNC) และ UST เป็น USTC ซึ่งทางชุมชนของ Terra Classic ก็ได้ตัดสินใจใช้กลไกการเผาเหรียญเพื่อลดปริมาณ LUNC ในระบบ 

การล่มสลายของ Terra ความผิดพลาดอย่างบริสุทธิ์ใจหรือเจตนาฉ้อโกง

หลังการล่มสลาย ชุมชนคริปโตยังคงถกเถียงกันว่า Terra ecosystem ถูกออกแบบมาให้เป็น Ponzi scheme และเพื่อการฉ้อโกงแต่แรกหรือไม่ หรือเป็นเพียงเพราะการออกแบบระบบที่แย่ และจะต้องล่มสลายอยู่ดีแม้จะไม่ถูกโจมตีก็ตาม ซึ่งคนที่จะตอบได้อาจมีเพียงผู้ก่อตั้งอย่าง Do Kwon เท่านั้น

แต่ในตอนนี้ แม้เราจะพูดได้เต็มปากว่า การออกแบบของ UST นั้นไม่ยั่งยืน แต่ก็ไม่แน่ชัดว่าจุดเริ่มต้นของการล่มสลายเกิดจากอะไร โดยมีทฤษฎีที่ว่าเทรดเดอร์กลุ่มหนึ่งพบว่ากลไก Algorithmic ของ Terra นั้นเปราะบางกว่าที่ตลาดคาด และได้เริ่มเปิดฉาก Short-sell เพื่อฉุด UST ให้หลุด Peg ทำให้ตลาดขาดความเชื่อมั่น และนำไปสู่การล่มสลาย

การล่มสลายของ Terra ยังสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ครั้งใหญ่ต่อโลกคริปโต อย่างแรกสุดคือการสูญเสียความเชื่อมั่นครั้งใหญ่ และตลาดยังปั่นป่วนหลังพบการจัดการความเสี่ยงที่แย่ของบริษัทคริปโทเคอร์เรนซีหลายแห่ง 

นอกจากนี้ ยังทำให้บริษัทหลายแห่งล้มละลายตามไปด้วย เช่น Three Arrows Capital ซึ่งลงทุนใน Terra ecosystem อย่างมาก และยังกระทบ FTX อีกด้วย เพราะ FTX มีแผนจะขยายวงเงินสินเชื่อให้กับอีกหลายบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการล่มสลายของ Terra

Terra Classic ในตอนนี้

ปัจจุบัน ชุมชน Terra Classic ก็ยังพยายามอัปเกรดสิ่งต่างๆ ใน Ecosystem อยู่เรื่อยๆ เช่น การอัปเกรดฟังก์ชัน การใช้งาน และอื่นๆ ของกระเป๋า LUNC เพื่อหวังว่าจะดึงดูดผู้ใช้งานหน้าใหม่เข้าสู่ Ecosystem 

นอกจากนี้ ยังเสนอระบบ Tax2Gas เพื่อเพิ่มภาษี On-chain เป็น 1.5% โดยแบ่งเป็น 1.2% เป็นการเผาเหรียญ และอีก 0.3% จะนำไปใช้ในการรักษาเครือข่าย โดยการเรียกเก็บภาษีและเผาเหรียญทิ้งนี้ก็เพื่อให้ Circulating supply ของ LUNC ลดลง

อย่างไรก็ตาม ด้วยอัตราการเผาที่กำหนด อาจต้องใช้เวลาร่วม 100 ปี LUNC จึงจะมีมูลค่า 1 ดอลลาร์ได้

เหตุการณ์นี้บอกอะไรกับเรา

ถ้าเรามองว่าการล่มสลายของ Terra ecosystem เป็นไปเพราะตัวระบบจริงๆ ไม่ได้มีการจงใจรวางยาใดๆ ก็อาจบอกได้เพียงว่าต้องศึกษาข้อมูลและใช้ความระมัดระวังมากกว่านี้ในการจะเลือกลงทุนอะไรก็ตาม แต่ทว่า หากเรามองในมุมที่ว่า Terra ecosystem เป็น Ponzi scheme นอกจากจะต้องศึกษาข้อมูลและใช้ความระมัดระวังแล้ว เราควรนึกไว้เสมอว่า ผลตอบแทนที่ดูดีเกินไปก็อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป อย่างในกรณีนี้ Anchor Protocol เสนอผลตอบแทนมหาศาลถึง 20% ซึ่งก็ดูดีเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริง 

คำเตือน : คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ 

แหล่งอ้างอิง : 

https://coincodex.com/article/22749/what-happened-to-luna/

https://www.coindesk.com/learn/the-fall-of-terra-a-timeline-of-the-meteoric-rise-and-crash-of-ust-and-luna/

https://coingape.com/terra-luna-classic-developer-announces-key-upgrade-lunc-price-to-0-0002/ 

https://coingape.com/terra-luna-classic-set-to-implement-tax2gas-and-end-lunc-burn-tax/