มาดูเชน BASE เชน Layer 2 ที่บริษัทยักษ์ใหญ่ Coinbase เป็นคนทำ
สรุปสั้นๆ
Base เป็น Solution Ethereum Layer 2 ที่พัฒนาโดย Coinbase และร่วมมือกับ Optimism เพื่อให้สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ราคาไม่แพง และเป็นมิตรกับ Developer เพื่อสร้างแอปพลิเคชัน On-chain
Base เข้ากันได้กับกระเป๋า EVM ทั้งหมด และกระเป๋า Coinbase
Base มี Use case มากมาย เช่น แอปชำระเงิน Token swap การจัดหาสภาพคล่อง (Liquidity provision) การทำ Token bridging และการเปิดตัว DAO
Base คืออะไร?
Base เป็นบล็อกเชน Ethereum Layer 2 (L2) ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 สิงหาคม 2023 โดย Coinbase และได้รับความสนใจจากชาวคริปโตเพราะเป็นบล็อกเชนแรกที่เป็นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เลย
Base พัฒนาโดยความร่วมมือกับ Optimism ซึ่งเป็นบล็อกเชน Ethereum L2 บน OP Stack ที่เป็น stack แบบ Open-source ที่ขับเคลื่อน Optimism โดย Base จะให้ Developer สร้าง Decentralized apps (DApp) ที่สามารถเข้าถึงฐานผู้ใช้ที่ยืนยันแล้วนับ 110 ล้านราย และสินทรัพย์มูลค่ากว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ บน Ecosystem ของ Coinbase
วิสัยทัศน์ของ Base คือการสร้างสิ่งที่เรียกว่า Superchain ที่ขับเคลื่อนโดย Optimism และได้รับการสนับสนุนจาก Community ของ Developer นอกจากนี้ ทาง Base ได้ประกาศว่ายังไม่มีแผนที่จะออกเครือข่ายโทเคนใหม่สำหรับ Base ดังนั้นผู้ใช้ควรจะระวังสแกมอย่างมาก
Layer 2 คืออะไร?
บล็อกเชน Layer 2 เป็นคำที่ใช้เพื่ออธิบายโปรโตคอลรอง (Secondary protocol) หรือกรอบการทำงานที่สร้างบนบล็อกเชน Layer 1 เช่น Ethereum โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อยกระดับความสามารถด้าน Scalability จำนวนการทำธุรกรรม และประสิทธิภาพของบล็อกเชน Layer 1 โดยไม่ลดความสามารถด้านความปลอดภัยและ Decentralization
เทคโนโลยี Layer 2 นั้นมีหลายประเภท เช่น State channel (Lightning network ของ Bitcoin กับ Raiden network ของ Ethereum) Sidechain (Liquid network ของ Bitcoin กับ Loom network ของ Ethereum) และ Rollup (Optimistic rollups กับ ZK-rollups)
ตัวอย่างบล็อกเชน Layer 2 ที่ใช้กันมากที่สุดคือ Optimism Polygon zkSync และ Arbitrum
Optimism คืออะไร?
Optimism เป็นบล็อกเชน Layer 2 ที่สร้างบนเครือข่าย Ethereum โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับความสามารถในการ Scalability จำนวนการทำธุรกรรม และลดค่าธรรมเนียม Optimism นี้ใช้เทคโนโลยี Optimistic Rollups ซึ่งจะรวมการทำธุรกรรมต่างๆ ที่ Off-chain เข้าเป็นข้อมูลเดี่ยว On-chain และส่งข้อมูลกลับไปยัง Ethereum
Optimism ใช้ประโยชน์จากระบบ Fraud-proof ซึ่งจะอนุมานว่าธุรกรรมที่ Rollup นั้นถูกต้องอยู่แล้ว ผู้ใช้งานสามารถแย้งได้ว่าธุรกรรมเหล่านั้นไม่ถูกต้อง และยื่นข้อพิสูจน์ว่าผิดจริงภายในเวลาที่กำหนด หากพบว่ามีความผิดจริงๆ ผู้ใช้งานยื่นธุรกรรมผิดเหล่านั้นจะถูกลงโทษ และธุรกรรมจะถูกยกเลิก
Base มี Use Case อะไรบ้าง?
Base เหมือนเครือข่าย L2 อื่นๆ ที่มี Use case มากมาย ตัวอย่างดังนี้
1. แอปชำระเงิน
Beam เป็นแอปชำระเงินที่ให้ผู้ใช้ทำธุรกรรมโดยใช้ USDC หรือ Native token ของแอป ผู้ใช้งานสามารถลงชื่อเข้าใช้ผ่านบัญชี Twitter และจ่ายค่า Gas ด้วย USDC หรือ Eco และ Beam ยังมีบริการแปลง Fiat-to-crypto และ Crypto-to-fiat ด้วย
2. ใช้ทำ Token swap
การทำ Token swap บน Decentralized exchanges (DEX) ทำให้ผู้ใช้บน Base สามารถซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีได้มากมาย ซึ่งปัจจุบันมี DEX มากมายที่ทำงานบน Base เช่น Uniswap Maverick และ Dackieswap
3. การจัดหาสภาพคล่อง (Liquidity provision)
ผู้ใช้สามารถจัดหาสภาพคล่องบน Base ผ่าน DApp ต่างๆ เช่น Uniswap BaseSwap และ Dackieswap โดย DApp เหล่านี้จะช่วยให้ผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity provider) ได้รับค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมใน Liquidity pool
4. การ Bridge
Base ได้พัฒนา Bridge อย่างเป็นทางการขึ้นมาเป็น Base Bridge ที่เข้ากันได้กับกระเป๋า Ethereum เช่น MetaMask หรือ Coinbase Wallet ผู้ใช้จะสามารถ Bridge ERC-20 token ระหว่าง Base กับ Ethereum ได้
การ Bridge จาก Ethereum ไปยัง Base มักจะใช้เวลา 2-3 นาที ขณะที่การ Bridge จาก Base ไปยัง Ethereum จะใช้เวลาประมาณ 7 วัน
5. การเปิดตัว DAO
Decentralized Autonomous Organization (DAO) เป็นองค์กรบนบล็อกเชนที่มี Community เป็นผู้ตัดสินใจเรื่องการพัฒนาและการทำงานต่างๆ ผ่าน Smart contract ที่ผ่านมา Aragon ซึ่งเป็นโปรโตคอลสำหรับการสร้าง DAO ได้เปิดตัว No-code DApp บน Base ทำให้กระบวนการสร้าง DAO ง่ายขึ้น
ในอนาคตจะมี BASE Token ไหม
ตามแผนงานของ Base ระบุว่า ยังไม่มีแผนจะออก Token ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม โปรเจกต์ต่างๆ อาจจะบอกว่าไม่มีแผนจะ airdrop แต่กลับแจกโดยไม่ประกาศล่วงหน้า ซึ่งมักจะเป็นการตอบแทนให้กับผู้ที่เข้ามาสนับสนุนโปรเจกต์และช่วยเหลือกันใน community ตั้งแต่แรกๆ
เราจะเชื่อมต่อ Base และใช้ Testnet ได้ยังไง
การเชื่อมต่อกับ Base ค่อนข้างจะตรงไปตรงมา สามารถทำได้ด้วยกระเป๋า Coinbase หรือกระเป๋า EVM ใดๆ ที่ใช้งานร่วมกันได้
1. เชื่อมต่อกับ Base ด้วยกระเป๋า Coinbase
การเชื่อมต่อกับ Base ด้วยกระเป๋า Coinbase มีขั้นตอนดังนี้
1.1. เปิดใช้งาน Browser extension ของ Coinbase Wallet และลงชื่อเข้าใช้งาน
1.2. เชื่อมต่อแอปพลิเคชันด้วยการใช้กระเป๋า Coinbase Wallet (ในรูปตัวอย่างเป็น BaseSwap)
1.3. เข้าไปที่เมนูเลือกเครือข่ายด้วยการกดสัญลักษณ์เครือข่ายตรงมุมขวาบน
1.4. เลือก Base
1.5. เครือข่ายจะถูกตั้งเป็น Base
2. เชื่อมต่อ Base ด้วย MetaMask
ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกับ Base ด้วยกระเป๋า EVM มากมาย ในที่นี้เราจะยกตัวอย่างกระเป๋า MetaMask
1. เปิดใช้งาน Browser extension ของ MetaMask
2. เข้าไปที่เมนูเลือกเครือข่ายที่มุมบนซ้าย
3. เลือกปุ่มเพิ่มเครือข่าย
4. เลือกเพิ่มเครือข่ายด้วยตนเอง
5. ในหน้า “เพิ่มเครือข่ายด้วยตนเอง” ให้กรอกรายละเอียดของ Base Goerli testnet แล้วกดบันทึก
6. ผู้ใช้งานควรจะสามารถเลือกเชื่อมต่อกับ Base ในเมนูเลือกเครือข่ายได้
ข้อดีของ Base มีอะไรบ้าง
ข้อดีสำคัญของการใช้ Base มีดังนี้
1. ต้นทุนต่ำ
Base เหมือนกับ Optimistic rollup อื่นๆ คือมีค่า Gas ต่ำ ออกแบบมาเพื่อลดค่าทำธุรกรรมและเพิ่มความสามารถในการรองรับธุรกรรมได้มาก ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการประมวลผลธุรกรรมนอกเชนแล้วรวมเป็น Proof เดียว
2. ความสามารถในการเข้าถึง
Base ซึ่งเป็นเชนที่เข้ากันได้กับ EVM จะเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงได้ด้วยการเปิดให้ Developer ติดตั้งและใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ กรอบการทำงาน และ Smart contract บน Ethereum ที่มีอยู่ในหลายแพลตฟอร์มได้อย่างง่ายดาย
3. มีความสามารถในการ scale
ความสามารถในการ Scale ของ L2 มีข้อได้เปรียบอย่างมากด้วยการเพิ่มความสามารถและปริมาณการทำธุรกรรมของเครือข่ายบล็อกเชน การยกระดับนี้แก้ปัญหาคอขวดและลดความไม่มีประสิทธิภาพ ให้ Solution ที่เร็วกว่าและคุ้มราคากว่าสำหรับทั้งผู้ใช้และ Developer
แล้วข้อเสียล่ะ?
ข้อจำกัดและความกังวลสำคัญเกี่ยวกับ Base มีดังนี้
1. การเป็น Centralization
หนึ่งในความกังวลหลักของ Base คือระดับความ Centralization เนื่องจาก Coinbase ทำหน้าที่เป็น Sequencer node เพียงรายเดียวบน Base ทำให้สามารถควบคุมธุรกรรมได้อย่างมาก โดย Sequencer node นี่เป็น Node เฉพาะในเครือข่ายบล็อกเชนที่ทำหน้าที่เรียงลำดับ (Sequencing) และยืนยันธุรกรรมสุดท้าย (Finalizing) ในลำดับที่กำหนด เพื่อทำให้ปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้น
การที่มี Sequencer node เพียงรายเดียว จะรวมพลังในการประมวลผลธุรกรรมและคำสั่งไปไว้ที่หน่วยงานเดียว การ Centralized อำนาจนี้ทำให้สามารถกำหนดและปรับค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับ Coinbase Sequencer ได้ อย่างไรก็ตาม Coinbase ได้แย้มๆ ถึงโอกาสที่จะรวม Third-party node เข้ามาในอนาคต
2. รอเวลาถอนนาน
หนึ่งในข้อจำกัดหลักของ Base คือต้องรอเวลาถอนที่นาน ซึ่งอาจนานถึง 7 วัน ความล่าช้านี้เป็นเพราะการออกแบบระบบ Fraud-proof ของ Optimism ที่อนุญาตให้ผู้ใช้แย้งความถูกต้องของธุรกรรมและยื่นให้ตรวจสอบธุรกรรมที่อาจผิดพลาดภายในเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาถอนที่นานนี้อาจทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี
3. ความปลอดภัย
ในฐานะ L2 ที่สร้างบน OP Stack ทำให้ Base เจอกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัย อย่างแรกคือประสิทธิภาพของกลไก Fraud-proof ในฐานะมาตรการด้านความปลอดภัย เนื่องจาก Fraud-proof อาศัยความระมัดระวังของผู้เข้าร่วมเครือข่ายในการตรวจสอบและแย้งธุรกรรม Off-chain ใดๆ ที่อาจผิดพลาดก่อนที่จะนำไปสรุปบนบล็อกเชนหลัก
อย่างไรก็ตาม กลไกนี้มีปัญหาหลายอย่าง รวมถึงผลตอบแทนที่ให้กับผู้เข้าร่วม และช่องโหว่ที่ข้อมูลจะถูกโจมตีได้
บทส่งท้าย
Base ได้รับความสนใจอย่างมากตั้งแต่เปิดตัว โดยมีผู้ใช้งานเกิน 1 ล้านราย และ Total value locked (TVL) กว่า 385 ล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 7 กันยายน 2023 ซึ่งเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ที่ส่ง Base ขึ้นแท่นเชนอันดับ 8 ในแง่ของ TVL (ในตอนนั้น) แซงหน้าบล็อกเชนยอดนิยมอย่าง Cardano และ Solana
เนื่องจาก Base เป็นบล็อกเชนตัวแรกที่ออกโดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการดึงดูดผู้ใช้งานเข้ามาสู่โลกของ Web3 มากขึ้น ในตอนนี้ แพลตฟอร์มยังคงเติบโตและพัฒนาต่อเนื่อง ดังนั้นผู้ใช้และ Developer ต้องประเมินและตัดสินใจด้วยข้อมูลให้ดีเมื่อจะเข้าไปใช้งาน Base
อ้างอิงจาก: https://academy.binance.com/en/articles/what-is-base-coinbase-layer-2-network